บทธรรม ว่าด้วยวัตตบท ๗ เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ว่าด้วยวัตตบท  ๗

            [๙๐๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถ

บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นแล ฯลฯ

            [๙๐๖] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายท้าวสักกะจอมเทพ

เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทาน

วัตรบท ๗ ประการ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะวัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน คือ

เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑

เราพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลจนตลอดชีวิต ๑

เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑

เราไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวิต ๑

เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่มยินดีในการสละควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวิต ๑

เราพึงพูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑

เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต  ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗

ประการนี้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ ฯ

            [๙๐๗] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถา

ประพันธ์ต่อไปอีกว่า

เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวถึงนรชน ผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดามีปรกติ

ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คำ

สมานมิตรสหาย ละคำส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัดความ

ตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ครอบงำความโกรธได้ นั้นแลว่า เป็นสัปบุรุษ  ดังนี้

            ทุติยเทวสูตรที่ ๒

            ว่าด้วยพระนามต่าง ๆ ของท้าวสักกะ

            [๙๐๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถ

บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นแล ฯลฯ

            [๙๐๙] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายท้าวสักกะจอมเทพ

เมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน เป็นมาณพชื่อว่ามฆะ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวมฆวา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อนได้ให้ทานมาก่อน เพราะเหตุนั้น

จึงถูกเรียกว่า ท้าวปุรินททะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน

ได้ให้ทานโดยเคารพ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสักกะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะ

จอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ที่พักอาศัยเพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า

ท้าววาสวะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพย่อมทรงคิดเนื้อความได้ตั้งพันโดยครู่เดียว

เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสหัสนัยน์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพทรงมีนาง

อสุรกัญญานามว่าสุชาเป็นปชาบดี เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวสุชัมบดี ดูกรภิกษุ

ทั้งหลายท้าวสักกะจอมเทพเสวยรัชสมบัติเป็นอิสราธิบดีของทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้น

 จึงถูกเรียกว่า เทวานมินทะ ฯ

            [๙๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้

สมาทานวัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ประการบริบูรณ์ จึงได้ถึง

ความเป็นท้าวสักกะ วัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน คือเราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑ ...

ถ้าแม้ความโกรธพึงเกิดขึ้นแก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการนี้บริบูรณ์

เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ ฯ

            [๙๑๑] พระผู้มีพระภาค ฯลฯ จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

เทวดาชั้นดาวดึงส์กล่าวนรชนผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา...ว่า เป็นสัปบุรุษ ดังนี้ ฯ

                        ตติยเทวสูตรที่ ๓

                        ว่าด้วยธรรมอันทำให้เป็นท้าวสักกะ

            [๙๑๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน  เขตเมืองเวสาลี ฯ

ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีพระนามว่ามหาลี เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ

ครั้นแล้วทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง เมื่อประทับนั่ง

ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ได้ตรัสถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พระองค์ทรงเห็นท้าวสักกะจอมเทพหรือพระพุทธเจ้าข้า ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมหาลี อาตมาเห็นท้าวสักกะจอมเทพถวายพร ฯ

ม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นนั้น จักเป็นรูปเปรียบของท้าวสักกะ

เป็นแน่ เพราะว่าท้าวสักกะจอมเทพยากที่ใครๆ จะเห็นได้พระพุทธเจ้าข้า ฯ

            [๙๑๓] พ. ดูกรมหาลี อาตมารู้จักท้าวสักกะด้วย รู้ธรรมเครื่องกระทำให้เป็นท้าว

สักกะด้วย และรู้ถึงธรรมที่ท้าวสักกะได้ถึงความเป็นท้าวสักกะเพราะเป็นผู้สมาทานธรรมนั้นด้วย

ดูกรมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์ในกาลก่อน เป็นมาณพชื่อว่ามฆะ เพราะเหตุนั้น

จึงถูกเรียกว่า ท้าวมฆวา ดูกรมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทาน

มาก่อนเพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า ท้าวปุรินททะ ดูกรมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็น

มนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ทานโดยเคารพ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่าท้าวสักกะ ดูกรมหาลี

ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ให้ที่พักอาศัย เพราะเหตุนั้น จึงถูก

เรียกว่า ท้าววาสวะ ดูกรมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพย่อมทรงคิดเนื้อความได้ตั้งพันโดยครู่เดียว

 เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่าท้าวสหัสนัยน์ ดูกรมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพทรงมีนางอสุรกัญญา

นามว่าสุชาเป็นปชาบดี เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่าท้าวสุชัมบดี ดูกรมหาลี ท้าวสักกะ

จอมเทพเสวยรัชสมบัติเป็นอิสราธิบดีของทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้น จึงถูกเรียกว่า

เทวานมินทะ ฯ

            [๙๑๔] ดูกรมหาลี ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อนได้สมาทาน

วัตรบท ๗ ประการบริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการจึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ

วัตรบท ๗ ประการเป็นไฉน คือ เราพึงเลี้ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต ๑ เราพึงประพฤติ

อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอดชีวิต ๑เราพึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงพูดวาจา

ส่อเสียดตลอดชีวิต ๑ เราพึงมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทินอยู่ครองเรือน มีการ

บริจาคอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่าย

ทานตลอดชีวิต ๑ เราพึงพูดคำสัตย์ตลอดชีวิต ๑ เราไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้าแม้ความโกรธ

พึงเกิดขึ้นแก่เรา เราพึงกำจัดมันเสียโดยฉับพลันทีเดียว ๑ ดูกรมหาลีท้าวสักกะจอมเทพเมื่อ

ยังเป็นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้สมาทานวัตรบท ๗ ประการนี้บริบูรณ์ เพราะเป็นผู้สมาทาน

วัตรบท ๗ ประการดังนี้ จึงได้ถึงความเป็นท้าวสักกะ ฯ

            [๙๑๕] พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัส

คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวนรชนผู้เป็นบุคคลเลี้ยงมารดาบิดา มีปรกติ

ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คำ

สมานมิตรสหาย ละคำส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็นเครื่องกำจัด

ความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ครอบงำความโกรธได้ นั้นแลว่า เป็น

สัปบุรุษ ดังนี้

 

Visitors: 36,771