กายนคร

กายนครโดย

                       สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ป.ธ.๙ ) วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร
มีเมืองหนึ่งชื่อว่า กายนคร ( เมืองกาย ) มีเนื้อที่ยาว ๑ วา หนา ๑ คืบ กว้าง ๑ ศอก
มีกำแพง ๔ ชั้น ชั้น ๑ ชื่อ โลมา ชั้น ๒ ชื่อ ตโจ ชั้น ๓ ชื่อ มังสะ ชั้น ๔ ชื่อ อัฎฐิ
มีประตู ( ทวาร ) ๙ แห่ง จักษุทวาร ๒ เป็นประตูเข้ามหรสพ โสตทวาร ๒ เป็นประตูเข้าเสียงต่างๆ ฆานทวาร ๒ เป็นประตูระบายลมเข้าออก มุขทวาร (ปาก) ๑ เป็นประตูเข้าเสบียงอาหาร วัจจทวาร(ทวารหนัก) ๑ เป็นประตูระบายของโสโครก ปัสสาทวาร ๑ เป็นประตูระบายน้ำโสโครก มีปราสาท ๕ หลัง ๑ ) จักษุประสาท เป็นที่ทอดพระเนตรมหรสพ ๒ ) โสตประสาท เป็นที่ทรงประทับสดับเสียงดนตรี ๓ ) ฆานประสาท ที่ประทับประดับประดาพระวรกาย ๔ ) ชิวหาประสาท ที่ประทับเสวยพระกระยาหาร ๕ ) กายประสาท ที่ประทับบรรทมพักผ่อน ผู้สร้างกายนคร คือ พระเจ้าอวิชชาและพระนางโมหาราชเทวี เมื่อสร้างแล้ว ทรงมอบให้พระราช-โอรส คือเจ้าชาย จิตตราช เป็นผู้ครอง เจ้าชาย จิตตราช มีขุนนางผู้ใหญ่ ๔ คือ ขุนโลโภ ขุนราโค ขุนโทโส และ ขุนโมโห มีขุนคลัง ขื่อ ขุนมัจฉริยะ ( ตระหนี่ ) เจ้ากรมวัง ชื่อ ขุนพยาบาท อำมาตย์ ชื่อ ขุน ทิฎฐิมานะ ( ดื้อรั้น )
ที่ปรึกษาใกล้ชิด ชื่อ ขุนมิจฉัตตะ ( ความเห็นผิด ) วันหนึ่งเจ้าชาย จิตตราช ทรงรำพึงว่า 
“ เรามีเมืองกว้างขวาง มีพระราชวังสวยงาม มีพระราชทรัพย์บริบูรณ์แต่ยังไม่มีมเหสี ”
มิจฉัตตะอำมาตย์ จึงกราบทูลว่า “ มีเมืองหนึ่ง ชื่อ เมือง ปัจจยาการนคร พระราชาผู้ครองเมือง นามว่า พระเจ้าเวทนา ทรงมีพระราชธิดา ๓ องค์ ชื่อ เจ้าหญิงตัณหา เจ้าหญิงราคา เจ้าหญิงอรดี ถ้าทรงปรึกษาพระบิดาพระมารดา ท่านอาจไม่เห็นด้วย ควรเสด็จไปโดยพระองค์เองโดยไม่ต้องทูลพระมารดาพระบิดา ข้าพระองค์จะตามเสด็จไปด้วย ”
เป็นอันว่าเจ้าชายจิตตราชและอำมาตย์มิจฉัตตะก็หนีออกจากกายนครไป เจ้าชายจิตตราช ทรงม้าพระที่นั่ง ชื่อ อิริยาบถ ส่วนอำมาตย์มิจฉัตตะขี่ม้าอีกตัวไป เดินทางจนถึงป่าใหญ่ ชื่อ ป่าวัฎฏะ ( ป่าเวียนว่ายตายเกิด ) ทางเข้าป่าพบศิลาจารึกความว่า

“ พระเจ้าเวทนาผู้ครองเมืองปัจจยาการนคร มีพระราชธิดา ๓ องค์ ชื่อ เจ้าหญิงตัณหา เจ้าหญิงราคา และเจ้าหญิงอรดี ถ้าบุรุษใดมีปัญญาสามารถตอบปัญหา ๕ ข้อได้จะยกเจ้าหญิงทั้ง ๓ ให้เป็นมเหสีและให้ครองเมืองปัจจยาการนคร แต่ถ้าตอบไม่ได้ต้องเป็นทาสรับใช้เจ้าหญิงทั้ง ๓ ” เจ้าชายจิตตราชทรงดีพระทัย ว่ามีทางครองเจ้าหญิงงามทั้ง ๓ ระหว่างนั้นเองก็มีนางยักษ์ผู้เฝ้าป่าวัฎฏะ ชื่อ นางยักษ์วัฎฏะทุกขีเมื่อเห็นผู้ล่วงล้ำเข้าเขตของตนจึงเข้าไล่จับมาเป็นอาหาร อำมาตย์มิจฉัตตะ เมื่อเห็นภัยมาจึงรีบขี่ม้าหนีทิ้งเจ้าชายจิตตราช ไว้เพียงลำพัง นางยักษ์วัฎฏะทุกขีเข้าขวาง เจ้าชายจิตตราชไว้และบอกว่าท่านต้องเป็นอาหารของนางในวันนี้ เจ้าชายจิตตราช ตรัสตอบไปว่า  ท่านไม่อาจจับเรากินเป็นอาหารได้ เพราะเรามีฤิทธานุภาพมาก ( มหิทธานุภาวํ )  เราล่องหนหายตัวได้ ( อสรีรํ ) มีกำลังไปทางไหนได้รวดเร็วทันใจ ( ลหุกํ )  ไปทางบกทางน้ำทางอากาศไกลแค่ไหนก็ไปได้ ( ทูรงคมํ ) ใครๆยากที่เห็นตัวเรา ( สุทุททสํ ) ”นางยักษ์วัฎฏะทุกขี กล่าวว่า “ ถึงท่านจะมีฤทธานุภาพอย่างไรก็หนีไม่พ้นข้าพเจ้า อย่าว่าแต่ท่านผู้เป็นมนุษย์เลย แม้นาค ครุฑ เทวดา อินทร์ พรหม เมื่อหลงมาในป่าวัฎฏะ ก็ไม่พ้นอำนาจข้าพเจ้าที่สร้างทุกข์ให้แก่ทุกคนที่อยู่ในป่านี้ไปได้ ”
ในขณะที่เจ้าชายจิตตราช จะเสียทีนางยักษ์วัฎฏะทุกขี พลันก็มีฤาษีตนหนึ่งมาช่วย ท่านชื่อ ฤาษีไตรลักษณญาณ ซึ่งอาศัยอยู่ ณ.จิตตบรรพต ทรงทราบด้วนญาณ จึงเหาะมาช่วยเจ้าชายจิตตราช ฝ่ายนางยักษ์วัฎฏะทุกขี พอเห็นฤาษีมาตกใจเพราะเคยถูกฤาษีไตรลักษณญาณ ปราบปรามมาก่อน จึงรีบหายหนีไป เมื่อสนทนากับเจ้าชายจิตตราช ทราบวัตถุประสงค์การมาว่าจะไปตอบปัญหาเพื่อครองเจ้าหญิงงาม ๓ องค์ จึงทูลเจ้าชายจิตตราช ว่า
“ เจ้าหญิงทั้ง ๓ องค์ท่านรู้จักดี เป็นคนสวยจริงแต่นิสัยไม่ดีทุกคน คือ 
เจ้าหญิงตัณหา มีนิสัยอยากได้ไม่รู้จักพอ ยิ่งได้มากยิ่งชอบ ไม่สนใจว่าจะได้มาทางดีทางชั่ว เอาทั้งนั้น เจ้าหญิงราคา มีนิสัยรักง่ายหน่ายเร็ว โลเลไม่แน่นอนเดี๋ยวรักคนนั้นคนนี้ เปลี่ยนรักเรื่อยไป เจ้าหญิงอรดี มีนิสัยริษยา ไม่อยากให้ใครได้ดี เห็นใครได้ดีก็ขัดขวาง ทำให้แตกสามัคคี ”เมื่อเจ้าชายจิตตราช รู้ทันนิสัยไม่ดีของเจ้าหญิงทั้ง ๓ องค์ ก็เกิดเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด จึงขออยู่กับฤาษีที่จิตตบรรพต ได้เรียนพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และเจริญไตรลักษณญาณ รู้ อนิจจํ ทุกขํ อนัตตา จนชำนาญ ฝ่ายอำมาตย์มิจฉัตตะ เมื่อขี่ม้าหนีภัยจากนางยักษ์วัฎฏะทุกขี ก็มิได้หนีไปไกล เมื่อเห็นเจ้าชายมีฤาษีมาช่วยก็ตามห่างๆไปจิตตบรรพต พอเห็นว่าเจ้าชายเปลี่ยนใจไม่ไปแก้ปัญหาเจ้าหญิงทั้ง ๓ ก็ร้อนใจ คิดจะหว่านล้อมเจ้าชายให้ไปแก้ปัญหาให้ได้ คืนหนึ่งได้โอกาสลอบไปพบเจ้าชายจิตตราชๆ เห็นอำมาตย์ตนสนิทก็ดีพระทัย มิจฉัตตะอำมาตย์แกล้งทูลเท็จว่า เมื่อเห็นนางยักษ์วัฎฏะทุกขีมาไล่จับ เห็นว่าเราสองคนเป็นมนุษย์คงสู้นางยักษ์ไม่ได้ ตนเองจึงรีบไปบอกให้ฤาษีมาช่วย ”
เมื่อเห็นว่าเจ้าชายคล้อยตาม จึงกล่าวอีกว่า “ เมื่อไม่มีนางยักษ์รังควานแล้ว ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่เรื่อยไปคงต้องแก่ตายบนภูเขานี่แน่ พระองค์ควรลาท่านฤาษีไปแก้ปัญหาเพื่อครองเจ้าหญิงงามดีกว่า อย่าบอกท่านฤาษีว่าไปแก้ปัญหาเพราะคงถูกห้าม ให้บอกว่าจะกลับไปกายนครที่จากมานาน ”เจ้าชายจิตตราช ทรงเชื่อมิจฉัตตะอำมาตย์ จึงตกลงพระทัยไปปัจจยาการนครให้ได้ ให้มิจฉัตตะซ่อนตัวไปก่อน ในวันรุ่งขึ้น เข้าไปทูลลาท่านฤาษีว่าจะกลับ

กายนครพบพระมารดาพระบิดาเพราะจากมานาน แต่ท่านฤาษีทราบด้วยญาณ จึงกล่าวว่า
“ ท่านรู้ว่าเจ้าชายจะไปเมืองปัจจยาการนคร ไม่ต้องโกหก ” เจ้าชายรับว่าจริงจึงกราบขออภัย ท่านฤาษีจึงทูลว่า เมื่อพระองค์ตั้งใจไปแก้ปัญหาจริงๆก็ไม่อาจห้ามได้ และจะมอบแว่น วิชชามัย ( ความรู้แจ้ง ) ให้ หากแก้ปัญหาไม่ได้ให้ส่องแว่นนี้ดูก็จะทราบคำตอบ แต่ห้ามบอกใครเป็นอันขาดว่า มีแว่นวิเศษ ถ้าบอกใครไปจะมีภัยอันตราย ”
จากนั้นเจ้าชายจิตตราชกราบลาท่านฤาษี ขี่ม้าอิริยาบทมาสมทบกับมิจฉัตตะอำมาตย์แล้วไปจนถึงปัจจยา-การนคร ก็ปลอมพระองค์แต่งากายแบบชาวบ้านเข้าไปขออาศํยที่พักของยายมายาวี ( เจ้าเล่ห์ ) ผู้เฝ้าราชอุทยานและถามเรื่องการไปแก้ปัญหา
วันต่อมาเจ้าชายจิตตราชลายายมายาวี ไปแก้ปัญหาที่โรงมณฑป เมื่อรับอาสาแก้ปัญหาตามกติกาที่วางไว้แล้ว พระเจ้าเวทนาจึงรับสั่งให้เจ้าหญิงเริ่มถามปัญหา
คำถามที่ ๑ เจ้าหญิงตัณหาถามว่า ? ทำไมคนตายแล้วจึงถูกผูกตราสัง ๓ เปลาะ คือ ที่คอ ๑ ที่มือทั้งสอง ๑ ที่เท้าทั้งสอง ๑ ? เจ้าชายจิตตราชตอบไม่ได้จึงแอบใช้แว่นวิชชามัยส่องดู จึงรู้และตอบว่า เป็นปริศนาธรรมสอนคนให้รู้ว่า
๑ ) ห่วงผูกคอ หมายถึงมีบุตรเหมือนมีห่วงผูกคอ
๒ ) ห่วงผูกมือ หมายถึงมีคู่ครองเหมือนมีห่วงผูกมือ
๓ ) ห่วงผูกเท้า หมายถึงมีทรัพย์สมบัติเหมือนมีห่วงผูกที่เท้า 
ดังภาษิตว่า     ปุตโต คีเว มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
                      ธนัง ปาเท ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
                      ภริยา หัตเถ ภรรยา(สามี)เยี่ยงอย่างปอ รึงรัด มือนา
                      สามบ่วงนี้ใครพ้นได้ จึ่งพ้นสงสาร
คำถามที่ ๒ เจ้าหญิงราคาถามว่า ? ไฟอะไร ร้อนที่สุดในโลก ?
เจ้าชายจิตตราชตอบไม่ได้จึงแอบใช้แว่นวิชชามัยส่องดู จึงรู้และตอบว่า ไฟ ๓ กอง คือ 
ราคัคคิ ไฟ คือ ราคะ ( ความกำหนัดยินดี ) 
โทสัคคิ ไฟ คือโทสะ ( ความประทุษร้าย )
โมหัคคิ ไฟ คือ โมหะ ( ความหลงใหล ) ไฟ ๓ กองนี้ ร้อนที่สุดในโลก
คำถามที่ ๓ เจ้าหญิงอรดีถามว่า ? ในโลกนี้อะไร เที่ยงที่สุด ?
เจ้าชายจิตตราชตอบไม่ได้จึงแอบใช้แว่นวิชชามัยส่องดู จึงรู้และตอบว่า
“ ความตายเป็นของเที่ยง ( ธุวํ มรณํ ความตายเป็นของเที่ยง )
คำถามที่ ๔ เจ้าหญิงตัณหาถามว่า ? ในโลกนี้อะไร หนักที่สุด ?
เจ้าชายจิตตราชตอบไม่ได้จึงแอบใช้แว่นวิชชามัยส่องดู จึงรู้และตอบว่า
“ ขันธ์ ๕ เป็นของหนักที่สุด ( ภารา หเว ปญจักขันธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระที่หนักแท้ )
เจ้าชายจิตตราชก็ต้องยอมตามเพราะเป็นพระราชบัญชา แต่ในใจอยากจะตอบปัญหาข้อที่ ๕ ให้เสร็จจะได้เชยชมเจ้าหญิงงามทั้งสามให้สมใจ แล้วจำใจกลับไปที่พักของยายมายาวีอีกคืน เมื่อพระเจ้าเวทนากลับพระราชวังแล้วรับสั่งให้พระราชธิดาทั้งสามเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า
“ วันนี้มีพระราชสาส์นจากพระเจ้าอวิชชาและพระนางโมหาราชเทวีแห่งกายนคร มาสู่ขอเจ้าทั้งสามให้เป็นมเหสีของเจ้าชายจิตตราชผู้เป็นพระราชโอรส พ่อเห็นว่าเป็นวงศ์ที่สมควรกันที่จะยกให้ แต่วันนี้เจ้ามานพหนุ่มคนนั้นไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ตอบปัญหาของเจ้าอย่างถูกต้องทั้ง ๔ ข้อ พ่อจึงไม่สบายใจ เพราะหากตอบถูกครบ ๕ ข้อพ่อก็ต้องยกเจ้าทั้งสามให้เพราะพ่อเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ แล้วพ่อจะหาลูกสาวที่ไหนไปยกให้เจ้าเมืองกายนคร ดังนั้นพ่อจึงให้หยุดปัญหาข้อ ๕ ไว้ก่อนเพื่อให้ทางทางแก้ไข เจ้าทั้งสามจะมีวิธีแก้อย่างไร ?  เจ้าหญิงทั้งสาม จึงทูลว่า  หม่อมฉันจะแก้ไขไม่ให้ต้องตกเป็นภรรยาชายแปลกหน้าให้จงได้ ขอเสด็จพ่ออย่าได้กังวลพระทัยเลย ” เจ้าหญิงทั้งสามให้คนสนิทสืบดูรู้ว่าชายแปลกหน้าพักที่กระท่อมยายมายาวี ผู้เฝ้าราชอุทยาน จึงรับสั่งให้เรียกยายมายาวีเข้าเฝ้ารับสั่งให้ยายมายาวีไปสืบมาว่าชายแปลกหน้ามีอะไรดีจึงตอบปัญหาถูกต้องแล้วรีบนำมาบอกยายมายาวีไปทำยกย่องเจ้าชายจิตตราชที่ตอบปัญหาเก่งแล้วถามว่า “ มีอะไรดีหรือพ่อหนุ่มรูปงาม ? ”เจ้าชายจิตตราชไม่ยอมบอกแม้ยายมายาวีจะอ้อนวอนอย่างไรก็ตามเพราะทำตามที่ท่านฤาษีไตรลักษณญาณกำชับไว้  ยายมายาวีจึงลอบมาหามิจฉัตตะ ยกยอ หว่านล้อมจนทราบเรื่องแว่นวิชชามัย แล้วรีบนำไปกราบทูลเจ้าหญิงทั้งสามในคืนนั้นเองเจ้าหญิงทั้งสาม แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างงดงามที่สุดไปหาเจ้าชายจิตตราช ณ.เรือนที่พักและใช้มารยาสตรีออดอ้อนว่า ที่นางทั้งสามตัดความอายมาหาถึงที่พักก็เพราะว่าความรักนำมา รักตั้งแต่แรกเห็นจนไม่อาจทนอยู่ได้ ” เจ้าชายจิตตราชหลงเชื่อคำสตรีจึงตรัสตอบทำนองว่า 
“ พระองค์ก็รักเจ้าหญิงทั้งสามตั้งแต่แรกเห็นเช่นกัน ”เจ้าหญิงทั้งสามได้โอกาสจึงรุกต่อไปว่า “ ถ้ารักจริงจะต้องให้ของเป็นที่ระลึกสักอย่าง ” เจ้าชายจิตตราชรู้ไม่ทันจึงตรัสว่า “ ของที่ขอถ้ามีอยู่ก็จะให้ ”เจ้าหญิงทั้งสามยิ้มแล้วรุกฆาตต่อไปว่า “ ถ้าอย่างนั้นขอ แว่นวิชชามัย ก็แล้วกัน ”เจ้าชายจิตตราชทรงตกพระทัย กล่าวว่า“ที่เราตอบปัญหาถูกต้องก็เพราะแว่นนี้ หากไม่มีเราก็ตอบไม่ถูก การแก้ปัญหาเหลือข้อที่ ๕ ขอเก็บแว่นนี้อีกวันเมื่อตอบปัญหาข้อที่ ๕ ถูกแล้วจะยกให้ทันที ”เจ้าหญิงลวงว่า “ พรุ่งนี้จะถามเหมือนเดิม จะไม่ถามเรื่องอื่น ทั้งนี้เพราะความรักแรกพบ ”เจ้าชายจิตตราชทรงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงมอบแว่นวิชชามัยให้
วันต่อมา เมื่อถึงเวลาถามปัญหาข้อที่ ๕  คำถามที่ ๕ เจ้าหญิงราคาถามว่า ? คนที่เกิดมาล้วนตกอยู่ในกองทุกข์ ต้องแก่ เจ็บ ตาย ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ไปได้ ?
เจ้าชายจิตตราชตอบไม่ได้ เพราะไม่มีแว่นวิชชามัย จึงต้องตกไปเป็นทาสรับใช้โดยไม่กล้าบอกว่าตนเป็นพระราชโอรสแห่งกายนครเพราะจะเสื่อมเสียชื่อเสียงอับอายของราชวงศ์ได้
จะกล่าวถึงพระเจ้าอวิชชาและพระนางโมหาราชเทวีแห่งกายนคร เมื่อส่งสาส์นสู่ขอพระราชธิดาแห่งปัจจยาการนคร ก็มิได้บอกให้พระราชโอรสทราบเมื่อจวนถึงกำหนดวันอภิเษกสมรส จึงตรัสรับสั่งให้เจ้าชายจิตตราชเข้าเฝ้า เมื่อทราบว่าไม่อยู่ที่พระราชวังหลายวันแล้ว รับสั่งให้ราชบุรุษตามหาก็ไม่เจอ ทรงวุ่นวายหทัย จึงจัดขบวนเสด็จไปยังปัจจยาการนครเพื่อปรึกษากับพระเจ้าเวทนาและปรารถว่าเจ้าชายจิตตราชอาจลอบมาแก้ปัญหาโดยไม่บอกให้ใครทราบ  ดังนั้นพระเจ้าเวทนาจึงรับสั่งให้นำทาสรับใช้พระธิดาทั้งสาม ออกมาเดินให้พระเจ้าอวิชชาและพระนางโมหาราชเทวีทอดพระเนตร เมื่อเห็นเจ้าชายจิตตราชเดินในขบวนทาส จึงตรัสบอกพระเจ้าเวทนาๆ รีบรับสั่งราชบุรุษให้เชิญมาเข้าเฝ้าแล้วขออภัยเพราะไม่ทราบมาก่อน จากนั้นจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายจิตตราชและเจ้าหญิงตัณหา เจ้าหญิงราคา เจ้าหญิงอรดี อย่างสมพระเกียรติแล้วกลับไปครองกายนครสืบไป
จะกล่าวถึงพระยามัจจุราช ผู้ครองเมือง มรณานคร มีแม่ทัพใหญ่ คือ หลวงชาติ หลวงชรา และหลวงพยาธิ เมื่อทรงทราบว่าเจ้าชายจิตตราชครองกายนคร รุ่งเรืองด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงส่งกองทัพทั้งสามที่มีหลวงชาติ หลวงชรา และหลวงพยาธิไปโจมตีกายนคร เจ้าชายจิตตราชเมื่อเห็นกองทัพล้อมเมือง จึงส่งข่าวไปถึงพระสหายให้มาช่วยรบทัพ คือ พระยาโอสถ ครองเมืองเภสัช ถือเฉลว ( ไม้ปักปากหม้อยา ) เป็นอาวุธ พระยาโอสถ ก็ส่งกองทัพเภสัชมาโจมตี สามทัพของพระยามัจจุราชให้แตกพ่ายไป
พระยามัจจุราชพิโรธหนักหนาจึงยกทัพหลวงมาเอง โจมตีกองทัพเภสัชและกองทัพกายนครแตกพ่ายไป พระเจ้าจิตตราชจึงพาพระมารดาพระบิดาและมเหสีทั้งสามหนีออกจากกายนคร ไปสร้างเมืองใหม่ ชื่อกายนครเหมือนเดิม พระยามัจจุราชทราบว่าพระเจ้าจิตตราชไปสร้างเมือง กายนครใหม่ ก็ยกทัพไปตีแตกอีก เป็นเช่นนี้หลายหน พระเจ้าจิตตราช สร้างเมือง กายนครอีกก็ทรงรำลึกถึง ฤาษีไตรลักษณญาณๆ ทราบด้วยญาณจึงเหาะมาหาพระเจ้าจิตตราชแล้วทูลว่า การที่พระองค์สร้างกายนคร นั้นไม่มีทางต้านกองทัพพระยามัจจุราชได้ พระองค์ต้องสร้างเมืองใหม่ชื่อ อมตมหานฤพานนคร จึงสามารถป้องกันพระยามัจจุราชได้ เพราะพระยามัจจุราชไม่รู้ มองไม่เห็นว่าอมตมหานฤพานนคร ตั้งที่ไหน จึงไม่อาจยกทัพมาราวีได้ แต่การสร้างอมตมหานฤพานนคร นั้นต้องดำเนินการดังนี้ ๑ ) สร้างอาวุธ ๓ อย่าง คือ สุตาวุธ ( การฟังธรรม ) วิเวกาวุธ ( ความสงบกายสงบใจ ) ปัญญาวุธ ( ความรอบรู้ในกองสังขาร ) ๒ ) สร้างรถอริยมรรค ๘( ทางประเสริฐ ๘ ) ๓ ) ต้องตัดใจทิ้ง พระบิดาพระมาดา พระมเหสี เพราะ รถอริยมรรค ๘ ขับขี่ได้เฉพาะคน และไม่อาจพาใครๆข้ามแม่น้ำสงสารสาคร ไปได้ ถ้าขืนพาใครไปด้วยจะต้องล่มจมใน สงสารสาครแน่นอน
พระเจ้าจิตตราชทรงรับคำว่าจะปฏิบัติตามคำสอนของฤาษีไตรลักษณญาณ ทุกประการ ท่านฤาษีจึงสอนให้สร้างอาวุธทั้งสามและรถอริยมรรค ๘และสอนฝึกขับขี่รถให้คล่องแคล่ว พระยามัจจุราชทราบว่าพระเจ้าจิตตราชจะสร้างเมืองใหม่จึงยกทัพมาตีอีก พระเจ้าจิตตราชทรงถืออาวุธ ๓ ขับรถอริมรรค ๘ แล่นออกจากกายนครไปถึง สงสารสาคร ก็ขับขี่รถอริมรรค ๘ ข้ามแม่น้ำไปได้ ฝ่ายพระเจ้าอวิชชา พระนางโมหาราชเทวีและเจ้าหญิงตัณหา เจ้าหญิงราคา เจ้าหญิงอรดีทราบว่าพระเจ้าจิตตราชหนีออกจากกายนครก็รีบตามไป พอถึงสงสารสาครก็ไม่อาจข้าม ได้แต่ร้องเรียกให้พระเจ้าจิตตราชกลับมารับไปด้วย
พระเจ้าจิตตราชเด็ดเดี่ยวไม่กลับมารับ ขอลาไปก่อนแล้วไปสร้าง อมตมหานฤพานนคร 
พระยามัจจุราชไม่ทราบว่าพระเจ้าจิตตราชไปสร้างเมืองที่ไหนจึงไม่อาจยกกองทัพชาติ กองทัพชรา กองทัพพยาธิไปราวีได้ พระเจ้าจิตตราชจึงทรงเสวยบรมสุขอยู่ในอมตมหานฤพานนคร อย่างที่ไม่มีที่ใดเปรียบปานตราบกาลนาน
 

Visitors: 36,772