ศาสนาประจำชาติ

 

"พุทธ" ศาสนาชาติ

 

          ประชาชนชาวไทยกว่าร้อยละ ๙๔.๕ นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ถูกปล่อยปละละเลย ไม่มีการส่งเสริม การศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาในสถานศึกษา ทำให้ประชาชนชาวไทยจำนวนมากขาดศีลธรรม ทำให้ขาดคุณธรรม และจริยธรรม อาชญากรรมมีสถิติสูงขึ้น หลายคนไม่กลัวบาป ก่อเกิดปัญหาการคอรัปชั่นทั่วทุกวงการ แม้แต่พระก็ถูกทอดทิ้ง ขาดการดูแลจากภาครัฐ และประชาชนเท่าที่ควร เมื่อวัดเสื่อมโทรม ชุมชนย่อยยับ สังคมไทยก็พังทลาย

          ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่จะแสดงเจตจำนงค์ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ โดยลายลักษณ์อักษร ซึ่งถ้าหากได้มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญแล้ว ประชาชนก็จะได้รับการส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา ฉะนั้นการเรียกร้องให้ "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นการเรียกร้องเพื่อตัวพระพุทธศาสนา แต่เป็นการเรียกร้องเพื่อประเทศชาติ

          ในสังคมไทยตลอดประวัติศาสตร์ของการนับถือพระพุทธศาสนา เสรีภาพทางศาสนาเป็นสิ่งที่มีมาเอง สืบเนื่องจากหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เชิดชูเสรีภาพในการใช้ปัญญา ไม่มีการบังคับศรัทธา เพราะฉะนั้นในประวัติของชนชาติไทยจึงไม่ต้องมีการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพในการนับถือศาสนา อย่างที่ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องรุนแรงมากในหลายประเทศ

          ศาสนิกชนในบางลัทธิศาสนา ไม่เพียงแต่จะแบ่งแยกเบียดเบียน ยอมรับหรืออยู่ร่วมกันไม่ได้กับศาสนิกชนที่นับถือศาสนาอื่นเท่านั้น แม้แต่กับศาสนิกชนศาสนาเดีัยวกัน แต่ต่างนิกายกับตน ก็ทนกันไม่ได้ ต้องยกเอาความต่างนั้นมาเป็นเหตุให้ต้องเข่นฆ่ากัน สำหรับพุทธศาสนิกชนแล้ว นอกจากมีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นอันเดียวกันในหมู่พวกตนแล้ว ยังอยู่ร่วมกันด้วยดีกับศาสนิกชนในศาสนาอื่นๆ โดยมีไมตรีจิตมิตรภาพ ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่เคยมีการเบียดเบียนข่มเหงศาสนา หรือศาสนิกชนอื่น ไม่ต้องพูดถึงศาสนิกชนต่างนิกายในพระพุทธศาสนาด้วยกัน ซึ่งมีแต่ไมตรี และความสัมพันธ์ในทางช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เคยมีปัญหาความขัดแย้งใดๆ เลย

          เมื่อพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ นอกจากพระพุทธศาสนาเองจะดำรงอยู่ได้แล้ว ยังเป็นการสถาปนาความมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งเป็นการสร้างความสามัคคีใน หมู่ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งหมด โดยก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนส่วนใหญ่ พร้อมทั้งไม่เสียสามัคคีต่อคนกลุ่มน้อย มีแต่ไมตรีจิตมิตรภาพ และความมีน้ำใจที่แผ่ออกไปกว้างขวางทั่วทั้งแผ่นดินเป็นฐานที่ค้ำจุนให้ไม่มีการเบียดเบียนกันทางศาสนา และเสริมสร้างบรรยากาศที่เอื่ออำนวยให้ศาสนาต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดีโดยสงบสุข

 

 


พระราชปณิธานแห่งพระมหากษัตริย์ไทย ที่มีต่อพระพุทธศาสนา

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑)      

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช (รัชกาลที่ ๕)     

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖)

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗)

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘) 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลปัจจุบัน) 

 

        

 

 

 

ศิลาจารึก

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

 

          คนในเมืองสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่ว ท่วยนาง ลูกเจ้า ลูกขุน ทั้งสิ้น ทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิงฝูงท่วย มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษา กรานกฐินเดือนหนึ่ง จึงแล้ว....

               กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฎฐารศ มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ครูนิส (สัยมุต) มีเถร มีมหาเถร เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้ มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำโอยทานแก่ มหาเถร สังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฏกตรัยหลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราชมาในกลางอรัญญิก มีพิหารอันหนึ่งมนใหญ่ สูงงามแก่กม มีพระอัฏฐารศอันหนึ่งลุกยืน เบื้องตะวันออกเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีปู่ครู....

 

(ศิลาจารึก สุโขทัย หลัก ที่ ๑,
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๑๙, หน้า ๑๗ และ ๑๙)

 

 

 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระบรมสัตยาธิฏฐานของ

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

 

          พระบาทสมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า จึงตรัสประกาศแก่เทพยดาทั้งปวงว่าให้บังเกิดมาในประยูรมหาเศวตฉัตรจะ ให้บำรุงพระบวรพุทธศาสนา ไฉนจึงมิช่วยให้สว่างแลเห็นข้าศึกเล่า พอตกพระโอษฐ์ลง พระพายก็พัดควันอันเป็นหมอกมืดนั้นสว่างไป ทอดพระเนตรเห็นช้างเศวตฉัตร ๑๖ ช้าง มีช้างดั้งช้างกัน ยืนอยู่เป็นอันมาก...

 

(พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เล่ม ๑ ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด), องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๓๓, หน้า ๒๐๗)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 

 

 

 

 

ตราพระราชลัญจกร
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สแกนจาก :
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี.
พระราชลัญจกร. กรุงเทพ :
อมรินทร์พริ้นติ้ง,, พ.ศ. 2538. 200 หน้า. หน้า 
หน้าที่. ISBN 974-7771-63-2

น้ำพระทัย และพระราชดำรัสของ

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช



          พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จะให้เราเข้ารีตดังนั้นหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะในราชวงศ์ของเรา ก็ได้นับถือ พระพุทธศาสนามาช้านานแล้ว จะให้เราเปลี่ยนศาสนาอย่างนี้ เป็นการยากอยู่ และถ้าพระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างฟ้าสร้างดินจะต้องการให้คนทั่วไปนับถือศาสนา
เดียวกัน พระเจ้ามิจัดการให้เป็นเช่นนั้นเสียแล้วหรือ

          จริงอยู่เมื่อฟอลคอนใน เวลาหมอบอยู่ข้างพระบาทพระเจ้ากรุงสยามได้แปลคำชักชวนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้รับสั่งมากับราชทูตนั้น ฟอลคอนก็กลัวจนตัวสั่น และสมเด็จพระนารายณ์ ทรงพระกรุณาโปรดให้อภัยแก่ฟอลคอน แต่ก็ได้รับสั่งว่า ได้ทรงนับถือศาสนาอันได้นับถือต่อๆ กันมาถึง ๒,๒๒๙ ปี แล้ว เพราะฉะนั้นที่จะให้พระองค์เปลี่ยนศาสนาเสียนั้นเป็นการที่พระองค์จะทำไม่ได้

 

 

 

(ประชุม พงศาวดาร เล่ม ๑๖, องค์การ ค้า ของ คุรุสภา ๒๕๐๗, หน้า ๒๓-๒๔)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

         

 

 

 


น้ำพระทัย และพระราชดำรัสของ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

 

 

 

          อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก 

ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา

          ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี

เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม

          คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า

พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา

  

  

ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา

แด่พระศาสดา สมณะ พุทธโคดม

สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม

ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา

ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา

พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

 

(จารึกในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอรุณราชวราราม)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        

 

 

 

 

 

 

 

 

พระราชปณิธานใน

พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
(รัชกาลที่ ๑)



          ตั้งใจจะอุปถัมภก
จะป้องกันขอบขันฑสีมา

 

ยอยกพระพุทธศาสนา
รักษาประชาชนและมนตรี

 

(พระราชนิพนธ์นิราศท่าดินแดง)

 

 

 

          แล้วมีพระราชโองการปฏิสันถารแก่เจ้าพระยา และพระยาทั้งปวงว่า สิ่งของทั้งนี้ จงจัดทำนุบำรุงไว้ให้จงดี จะได้ป้องกันรักษาแผ่นดิน ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และพระราชอาณาเขตสืบไป แล้วอัครมหาเสนาบดี รับพระราชโองการ กราบ บังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอรับพระราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ใส่เกล้าใส่กระหม่อม ขอเดชะ” แล้วเสด็จกลับ ขึ้นข้างในเสด็จประทับเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ....

               ครั้นเสร็จการฉลองพระนครแล้ว จึงพระราชทานนามพระนครใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธรัตนปฏิมากรว่า “กรุงเทพมหานครบวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมร พิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยะวิษณุกรรมประสิทธิ์ ” เป็นพระมหานครที่ดำรงรักษาพระมหามณีรัตนปฏิมากร เป็น แก้วอย่างดีมีสิริอันประเสริฐ สำหรับพระบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ประดิษฐานกรุงเทพมหานครนี้ ตั้งแต่พระราชทานนามนี้มา บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุขเกษมสมบูรณ์ขึ้น (ครั้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลงสร้อยที่ว่า บวรรัตนโกสินทร์นั้นเป็น อมรรัตนโกสินทร์ นอกนั้นคงไว้ตามเดิม...

 

(พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑, กรมศิลปากร, ๒๕๒๖, หน้า ๖๑-๖๓)

 

 

          ทุกวันนี้ตั้งพระทัยแต่ที่จะทำนุบำรุงบวรพระพุทธศาสนา ไพร่ฟ้า ประชากรให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้ตั้งอยู่ ในคติธรรม ทั้ง ๔ ดำรงจิตจัตุรัสบำเพ็ญ ศีลทาน จะได้สุคติภูมิ มนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นประโยชน์ แต่ตน...

 

(กฎหมายตราสามดวง, กรมศิลปากร, ๒๕๒๑, หน้า ๗๖๙.)

 

 

          พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เมื่อทรงสดับพระสงฆ์ ราชาคณะถวายพระพรโดยพิสดารดังนั้น จึงดำรัสว่า

          ครั้งนี้ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง จงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักร ให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ขึ้นให้จงได้ ฝ่ายข้างอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้น เป็นพนักงานโยม โยมจะสู้เสียสละชีวิตบูชาพระรัตนตรัย สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์ เป็นมูลที่จะตั้งพระพุทธศาสนาจงได้

          พระราชาคณะ ทั้งปวงรับ สาธุ แล้ว ถวายพระพร...

 

(พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์, รัชกาลที่ ๑, กรมศิลปากร, ๒๕๒๖, หน้า ๑๑๓.)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

        

 

 

 

 

 

 

 

 

พระราชศรัทธาของ

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)

 

          ศุภมัสดุ ๑๑๗๙ ศก... พระบาทสมเด็จบรมธรรมมิกมหาราชารามาธิราช บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว...ทรงพระราชศรัทธาจะยกรื้อวิสาขบูชามหายัญพิธีอันขาดประเพณีมานั้น ให้กลับคืนเจียรฐิติกาลปรากฏสำหรับแผ่นดินสืบไป จะให้เป็นอัตตัตถประโยชน์ และปรัตถประโยชน์ ทรงพระราชศรัทธาจะให้สัตว์โลก ข้ามขอบขัณฑเสมาทั้งปวง จำเริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์ภัยในชั่วนี้ แลชั่วหน้า...

 

(กระทรวงศึกษาธิการ, แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล, โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว, ๒๕๒๘, หน้า ๒๐.)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

 

น้ำพระทัยของ

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓)

 

          ด้วยกำลังทรงพระมหากรุณาเมตตากับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นอันมาก ทรงพระกรุณาดำรัสให้จดหมาย (คือ จด) กระแสพระราชโองการปฏิญาณยกนามพระรัตนตรัยสรณาคมน์อันอุดมเป็นประธานพยานอันยิ่ง ให้เห็นความจริงในพระบรมหฤทัย แล้วทรงพระราชดำรัสยอมอนุญาตให้เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา พระยาราชสุภาวดี กับขุนนางผู้น้อยทั้งปวงจงมีความสโมสรสามัคคีรสปรึกษาพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใด ที่มีวัยวุฒิปรีชารอบรู้ราชานุวัตร จะเป็นศาสนูปถัมภกยกพระบวรพุทธศาสนา แลจะปกป้องไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ รักษาแผ่นดินให้ เป็นสุขสวัสดิ์โดยยิ่ง เป็นที่ยินดีแก่มหาชนทั้งปวงได้ ก็สุดแท้แต่จะเห็นดีประนีประนอมพร้อมใจกัน ยกพระบรมวงศานุวงศ์ พระองค์นั้น ขึ้นเสวยมไหสวรรยาธิปัตย์ ราชสืบสันตติวงศ์ ดำรงราชประเพณีต่อไปเถิด อย่าได้กริ่งเกรงพระราชอัธยาศัยเลย เอาแต่ให้ได้เป็นสุขทั่วหน้า อย่าให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน ให้ได้ความทุกข์ร้อนแก่ ราษฎร...

 

 

 

(จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓ เลขที่ ๓๔ จ.ศ. ๑๒๑๒ พระบรมราชโองการ เรื่องทรงมอบราชสมบัติเมื่อใกล้จะสวรรคตให้กับเจ้าพระยาพระคลัง)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

 

พระราชนิพนธ์ของ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๔)



          การพระราชบริจาคอันนี้ ทรงพระราชดำริเห็นว่าไม่ขัดขวางเป็น เหตุให้ท่านผู้ใดขุ่นเคืองขัดใจเลย พระนครนี้เป็นถิ่นที่ของคนนับถือพระพุทธศาสนามาแต่เดิม ไม่ใช่แผ่นดินของศาสนาอื่น คนที่ถือศาสนาอื่นมาแต่อื่นก็ดีอยู่ในเมืองนี้ก็ดี จะโทมนัสน้อยใจ ด้วยริษยาแก่พระพุทธศาสนา เพราะบูชาอันนี้ไม่ได้ ด้วยไม่ใช่ เมืองของศาสนาตัวเลย ถ้าโทมนัสก็ชื่อว่าโลภล่วงเกินไป

 

(ประชุมประกาศ รัชกาล ที่ ๔ เล่ม ๑, องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๒๘, หน้า ๘๒.)

 

 

 

          ทรงพระราชดำริเห็นว่า จะฆ่าสัตว์มีชีวิต คือ สุกร เป็ด ไก่ นก ปลา แลอื่นๆ ให้ตายเป็นอันมาก จะเห็นไปว่าเป็นเวลาเฉลิมพระชนมพรรษา สัตว์ที่มีชีวิตซึ่งต้องตายเป็นอันมากดังนี้ เป็นเวลาทำบุญแล้ว จะมาทำบาปเล่า ดูไม่ควร เพราะบ้านเมืองนับถือบรมพุทธศาสนา แลลัทธิถือว่าการฆ่าสัตว์ เป็นบาป ขอให้ท่านทั้งปวงบรรดาที่เริ่มการทำบุญในครั้งนี้ คิดยักย้ายทำของเลี้ยงพระสงฆ์แต่ที่ควร...

 

(ประชุมประกาศ รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๔๑๑, องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๔, หน้า ๒๔๐-๒๔๑)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          

 

 

 

 

 

 

 

พระราชปฏิญาณและ พระราชนิพนธ์ของ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระปิยมหาราช
 (รัชกาลที่ ๕)

 

          ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนเฉพาะหน้าพระสงฆ์เถรานุเถระทั้งหลาย อันประชุมอยู่ ณ ที่นี้ว่า การที่ข้าพเจ้าคิดจะไปประเทศยุโรป ณ ครั้งนี้ ด้วยข้าพเจ้ามุ่งต่อความดีแห่งพระราชอาณาจักร และด้วยความ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจจะรักษาตนให้สมควรแก่ที่เป็น เจ้าของประชาชนชาวสยามทั้งปวงจะรักษาเกียรติยศแห่งพระราชอาณาจักรอันเป็นเอกราชนครนี้ จนสุดกำลังที่ข้าพเจ้าจะป้องกันได้

          และ เพื่อจะให้เป็นเครื่องเตือนใจตัวข้าพเจ้า และเป็นเครื่องเย็นใจ แห่งผู้ซึ่งมีความรักใคร่มุ่งหมายความดีต่อข้าพเจ้าปราศจากวิตกกังวลใจด้วยความประพฤติรักษาตัวของข้าพเจ้าๆ จึงขอสมาทานข้อทั้งหลาย ที่จะกล่าวต่อไปนี้

          ๑. ข้าพเจ้าจะไม่มีจิตยินดี น้อมไปในศาสดาอื่น นอกจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรม อันพระองค์ได้ตรัสรู้ ชอบดีแล้ว กับทั้งพระสงฆ์หมู่ใหญ่ อันได้ประพฤติตาม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลยเป็นอันขาด จนตราบกว่าสิ้นชีวิต

          ๒. การที่ ข้าพเจ้าไปครั้งนี้ แม้ว่าจะช้านานเท่าใดก็ดี ข้าพเจ้าจะไม่ร่วมประเวณีด้วยสตรีใดจนกลับเข้ามาถึงในพระราชอาณาเขต

          ๓. ถึงแม้ว่าจะไปในประเทศซึ่งเขาถือกันว่า การให้สุราเมรัยไม่รับเป็นการเสียกิริยาอันดี ฤาเพื่อป้องกันโรคภัย อันเปลี่ยนอากาศ เป็นต้น ข้าพเจ้าจะไม่เสพสุราเมรัยให้มึนเมาเสียสติฤา แม้แต่มีกายวิกลเกินปรกติเป็นอันขาด

          คำปฏิญาณสมาทานสามประการนี้ ข้าพเจ้าได้ ทำไว้เฉพาะหน้าพระสงฆ์เถรานุเถระ อันได้มาประชุมในการพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล แห่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์ และที่ปรึกษาของ ผู้สำเร็จราชการ ณ พระที่นั่งไพศาสทักษิณในบรมมหาราชวัง วันที่ ๒๑ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๕ พระพุทธศาสนายุกาล ๒๔๓๙ พรรษา เป็นวันที่ ๑๐๓๕๘ ในรัชกาล ปัจจุบัน

 

 

 

 

(กรมศิลปากร, การเสด็จประพาสยุโรปของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ร.ศ. ๑๑๖ เล่ม ๑, สหประชาพาณิชย์, ๒๕๒๓, หน้า ๙๗-๑๐๐)



          พระราชบิดาของฉัน ได้ทรงสละเวลาเป็นส่วนใหญ่ในการศึกษา และคุ้มครองศาสนาของชาติ ส่วนฉันได้ขึ้นครองราชย์ในขณะอายุยังน้อย จึงไม่มีเวลาที่จะเป็นนักศึกษาอย่างพ่อฉันเองมีความสนใจ ในการศึกษาหนังสือหลักธรรมต่างๆ สนใจที่จะคุ้มครองศาสนาของเรา และต้องการที่จะให้มหาชนทั่วไป มีความเข้าใจถูกต้อง

               ดูเหมือนว่าถ้าชาวยุโรปเชื่อในคำสอนของคณะมิชชันนารีว่า ศาสนาของเราโง่งมงายและ ชั่วทราม คนทั้งหลายก็จะต้องถือว่าพวกเราเป็นคนโง่งมงายและ ชั่วทรามไปด้วย ฉันจึงรู้สึกขอบคุณบรรดาบุคคลเช่นท่าน เป็นตัวอย่างที่สอนชาวยุโรป ให้ความคารวะแก่ศาสนาของเรา

 

(พระ ราชหัตถเลขา ถึง เซอร์ เอ็ดวิน อาร์ โนลด์)



          ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะต้องทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งคู่กับพระราชอาณาจักรให้ดำเนินไป ในทางวัฒนาถาวรพร้อมกันทั้งสองฝ่าย

 

(พระราชดำรัสของ สมเด็จพระปิยมหาราช ต่อคณะสงฆ์ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๐)

 

 



          ประชาชนในสยามราชอาณาจักรนี้ ย่อมเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาโดยมากพุทธศาสนิกชนในพระราชอาณาจักรย่อมได้สดับตรับฟังพระสัทธรรม ซึ่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติสอนไว้ เป็นวิถีทางสัมมาปฏิบัติจากพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีอยู่ในสังฆาราม ทั่วพระราชอาณาจักร แลได้ฝากบุตรหลานเป็นศิษย์ เพื่อให้ร่ำเรียน พระบรมพุทโธวาท แลวิชาซึ่งจะให้บังเกิดประโยชน์กล่าวคือ วิชาหนังสือเป็นต้น ในสำนักพระภิกษุสงฆ์เป็นประเพณีมีสืบมาแต่โบราณกาลจนบัดนี้ นับว่าพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้กระทำประโยชน์ แก่พุทธจักรแลพระราชอาณาจักรทั้งสองฝ่ายเป็นอันมาก

               เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชปรารภถึงการที่จะทำนุบำรุงประชาชนทั้งหลาย ให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ แลให้เอื้อเฟื้อในการที่จะศึกษาวิชาอันเป็นประโยชน์ เพื่อจะให้ถึงความเจริญยิ่งขึ้นโดยลำดับ จึงทรงพระราชดำริเห็นว่าไม่มีทางอย่างอื่นจะประเสริฐยิ่งกว่าจะเกื้อกูลพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย โดยพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ให้มีกำลังสั่งสอนธรรมปฏิบัติแลวิชาความรู้แก่พุทธศาสนิกชนบริบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่า
แต่ก่อน

 

(กฎหมาย รัชกาลที่ ๕ ร.ศ. ๑๑๗, เรื่องประกาศจัดการเล่าเรียนหัวเมือง)




          การสอนศาสนาในโรงเรียน ทั้งในกรุงแลหัวเมือง จะต้องให้มีขึ้น ให้มีความวิตกไปว่า เด็กชั้นหลังจะห่างเหินจากการศาสนาจนเลยเป็นคนไม่มีธรรมในใจมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จะถือว่าเหมือนอย่างทุกวันนี้คนที่ ไม่รู้อะไรก็มีมากต่อไปภายหน้า ถ้าเป็นคนที่ได้เล่าเรียนคงจะประพฤติตัวดีกว่าคนที่ไม่ได้เล่าเรียนนั้นหาถูกไม่ คนที่ไม่มีธรรมเป็นเครื่องดำเนินตามคงจะหันไปทางทุจริตโดยมาก ถ้ารู้น้อยก็โกงไม่ค่อยคล่อง ฤาโกงไม่สนิท ถ้ารู้มากก็โกงคล่องมากขึ้น และโกงพิสดารมากขึ้น

          การที่หัดให้รู้อ่านอักขรวิธี ไม่เป็นเครื่องฝึกหัดให้คนดีแลคนชั่ว เป็นแต่ได้วิธีที่สำหรับจะเรียนความดีความชั่วได้คล่องขึ้น จึงเห็นว่าถ้ามีหนังสืออ่านสำหรับโรงเรียน ที่บังคับให้โรงเรียนต้องสอนกัน แต่ให้เป็นอย่างใหม่ๆ ที่คนจะเข้าใจง่ายๆ... จะเป็นคุณประโยชน์มาก

 

(กระทรวงศึกษาธิการ, แนวพระราช ดำริเก้ารัชกาล, โรงพิมพ์ คุรุสภา ลาดพร้าว, ๒๕๒๘, หน้า ๑๗๓.)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

    

 

 

 

 

 

 

 

พระบรมราโชวาทและพระราชนิพนธ์ของ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๖)



          พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสำหรับชาติเรา เราจำเป็นต้องถือด้วยความกตัญญูต่อบิดามารดา และต้นโคตรวงศ์ของเรา จำเป็นต้องถือไม่มีปัญหาอะไร... เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกได้แน่นอน จึงได้กล้าลุกขึ้นยืน แสดงเทศนาทางพระพุทธศาสนาแก่ท่านทั้งหลาย โดยหวังแน่ว่า บรรดาท่านทั้งปวง ซึ่งเป็นคนไทย เมื่อรู้สึกแน่วแน่แล้วว่า ศาสนาในสมัยนี้เป็นของที่แยกจากชาติไม่ได้... พุทธศาสนาเป็นของไทย เรามาชวนกันนับถือพระพุทธศาสนาเถิด... ผู้ที่แปลงศาสนา คนเขาดูถูกยิ่งเสียกว่าผู้ที่แปลงชาติ เพราะเขาย่อมเห็นว่า สิ่งที่นับถือเลื่อมใสกันมาตลอดครั้ง ปู่ ย่า ตา ยาย ตั้งแต่เด็กมาแล้วเป็นของสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คนนั้นมีความสัตย์ มีความมั่นคงในใจหรือไม่ เมื่อมาแปลงชาติศาสนาได้แล้ว เป็นแลเห็นได้ทันทีว่าเป็นคนไม่มั่นคง อย่าว่าแต่อะไรเลย ศาสนาที่ใครทั้งโลกเขานับถือว่า เป็นของสำคัญที่สุด เขายังแปลงได้ตามความพอใจ หรือเพื่อสะดวกแก่ตัวของเขา... เหตุฉะนี้ ผู้แปลงศาสนาถึงแม้จะไม่เป็นผู้พึงเกลียดชังแห่งคนทั่วไป ก็ย่อมเป็นผู้ที่เขาสามารถจะเชื่อได้น้อย เพราะเหตุฉะนั้น เป็นความจำเป็นที่เราทั้งหลาย ผู้เป็นไทย จะต้องมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาสำหรับชาติเรา

          ต้องเข้าใจพุทธศาสนาในเวลานี้ ไม่มีแห่งใดในโลกที่จะถือจริง รู้จริง เท่าในเมืองไทยเรา เมืองไทยเราเปรียบเหมือนป้อมอันใหญ่ ซึ่งเป็นแนวที่สุดของพระพุทธศาสนาแนวที่ ๑ แนวที่ ๒ ร่อยหรอเต็มทีแล้ว ยังแต่แนวที่ ๓ และแนวที่สุด คือ เมืองไทย... เราทั้งหลายเป็นผู้รักษาแนวนี้ ถ้าเราไม่ตั้งใจรักษาจริงๆ แล้ว

          ถ้ามีอันตรายอย่างใดมาถึงพระพุทธศาสนา เราทั้งหลายจะเป็นผู้ที่ได้รับความอับอายด้วยกันเป็นอันมาก...เหตุฉะนี้เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตั้งใจที่จะรักษาความมั่นคง ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย อย่าให้มีอันตรายมาถึงได้... ผู้ที่คนอื่นเขาส่งเข้ามาปลอมแปลงเพื่อทำลายพระพุทธศาสนาเราทั้งหลายต้องคอยระวังรู้เท่าไว้จึงจะควร...จึงเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายที่เป็นเชื้อชาตินักรบ ต้องรักษาพระศาสนาอันนี้ให้คงอยู่ในเมืองไทยอีกต่อไป ต้องรักษาไว้เพื่อให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของเราทั้งหลาย ให้เขารักษากันต่อไปยั่งยืนเป็นเกียรติยศแก่ชาติของเราชั่วกัลปาวสาน

          เวลานี้ทั้งโลกเขาพูดเขานิยมว่า ชาติไทยเป็นชาติที่ถือพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธศาสนายั่งยืนอยู่ได้ เพราะมีเมืองไทยเป็นเหมือนป้อมใหญ่ในแนวรบ

          เราเคราะห์ดีที่สุดที่นานมาแล้ว เราได้ตกไปอยู่ในพระพุทธศาสนา จึงได้เป็นมนุษย์ชั้นสูงที่สุดที่มนุษย์จะเป็นได้ ในทางธรรม เหตุฉะนี้ ขอท่านทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่ ผู้ที่ตะเกียกตะกายอยากเป็นฝรั่ง อย่าทำเหมือนฝรั่งในทางธรรมเลย ถ้าจะเอาอย่างฝรั่งจงเอาอย่างในทางที่ฝรั่งเขาทำดี คือ ในทางวิชาการบางอย่าง ซึ่งเขาทำดีเราควรเอาอย่าง แต่การรักษาศีลรักษาธรรม เรามีตัวอย่าง ดีกว่าฝรั่งเป็นอันมาก ถือพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างของเราแล้ว เรามีตัวอย่างหาที่เปรียบเสมอเหมือนมิได้

          พระพุทธศาสนาก็ดี หรือศาสนาใดก็ดี ที่ตั้งมั่นอยู่ได้ก็ด้วยความมั่นคงของผู้เลื่อมใส ตั้งใจที่จะรักษา และข้าพเจ้าพูด ทั้งนี้ก็เพื่อชักชวนท่านทั้งหลาย อย่างเป็นเพื่อนไทย และเพื่อนพุทธศาสนิกชนด้วยกัน ทั้งนั้น เพื่อความมั่งคงแห่งพระพุทธศาสนา ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ได้ทำหน้าที่สมควรแก่อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา เราตั้งใจจะรักษาศาสนาของเราด้วยชีวิต ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายตั้งใจอยู่ในข้อนี้ และถ้าท่านตั้งใจจะช่วยข้าพเจ้าในกิจอันใหญ่นี้แล้ว ก็จะเป็นที่พอใจข้าพเจ้าเป็นอันมาก

          เมืองเราเกือบจะเป็นเมืองเดียวแล้วในโลก ได้มีบุคคลถือพระพุทธศาสนามาก และเป็นเหล่าเดียวกัน เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายที่จะช่วยกันบำรุงรักษาพระพุทธศาสนาอย่าให้เสื่อมสูญไป การที่จะบำรุงพระพุทธศาสนา เราต้องรู้สึกก่อนว่า หลักของพระพุทธศาสนาคืออะไร

          เราทั้งหลาย ที่ยังไม่แน่ ตั้งแต่วันนี้ จะได้พร้อมกันตั้งใจว่าในส่วนตัวเราเองจะริษยากันก็ตาม จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะทำการเช่นนี้ ต่อเมื่อเวลาว่างไม่มีภัย เมื่อมีเหตุสำคัญจำเป็นที่เราจะต้องต่อสู้ชาติอื่น แม้การส่วนตัวของเราอย่างไร จะทำให้เสียประโยชน์แก่ชาติเราแล้ว สิ่งนั้นเราจะทิ้งเสีย เราจะรวมกัน ไม่ว่าในเวลานี้ชอบกันหรือชังกัน เราจะถือว่า เราเป็นไทยด้วยกันหมด เราจะต้องรักษาความเป็นไทยของเราให้ยั่งยืน เราจะต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ถาวรวัฒนาการ อย่างที่เป็นมาแล้วหลายชั่วโคตรของเราทั้งหลาย

 

(พระบรมราโชวาทเรื่องเทศนาเสือป่า)

 

 

พระราชนิพนธ์คำประพันธ์ของ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถึงความหมายของสีทั้งสามของธงไตรรงค์ ดังนี้

 

 

          ขอพร่ำรำพรรณบรรยาย
ขาว คือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์
แดง คือโลหิตเราโซร้ 
น้ำเงิน คือสีโสภา
จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ 
ทหารอวตารนำไป

  

  

ความคิดเครื่องหมาย
หมายพระไตรรัตน
ซึ่งยอมสละได้ 
อันจอมประชา
จึงเป็นสีธง 
ยงยุทธ์วิชัย

  

  

แห่งสีทั้งสามงามถนัด
และธรรมคุ้มจิตไทย *
เพื่อรักษาชาติศาสนา
ธ โปรดเป็นของส่วนองค์
ที่รักแห่งเราชาวไทย
วิชิตก็ชูเกียรติสยามฯ

 

(จาก ดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ ๒๔๖๑, หน้า ๔๒)

 

 

นายสุเทพ
เทือกสุบรรณ

 

* พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ความหมายของสีขาว
ของธงไตรรงค์ว่า

ขาว คือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน และธรรมคุ้มจิตไทย

แต่ สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์) รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ (สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี)และ นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ิออกคู่มือ "ธงไตรรงค์ ธำรงไทย" (หน้า ๓ และหน้า ๓๗ ข้อ ๔.๒) แก้ไขพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้ความหมายของสีขาวของธงไตรรงค์ไว้ว่า

สีขาว หมายถึง ศาสนา (มิได้เน้นศาสนาใดโดยเฉพาะ)

ดูคู่มือ "ธงไตรรงค์ ธำรงไทย  

 

 

 

      ผู้จัดทำคู่มือ "ธงไตรรงค์ ธำรงไทย" ไม่นำเอาพระราชนิพนธ์คำประพันธ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ให้ความหมายของสีทั้งสามของธงไตรรงค์มาแสดงไว้ในคู่มือเล่มนี้ แต่นำชื่อของพระองค์ท่านมากล่าวอ้าง แล้วกำหนดความหมายของสีขาวของธงชาติเสียเอง

 

     
 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

 

 

พระบรมราโชวาทของ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗)

 

 

 

          แต่บ้านเมืองในลานนาถึงกาลวิบัติ พระพุทธศาสนาก็เศร้าหมอง จนสงฆมณฑลเสื่อมทราม ระส่ำระส่ายมาช้านาน... มาจนถึงรัชกาลสมเด็จพระปิยมหาราช พระบรมชนกนาถของเรา จึงได้เริ่มทรงจัดการฟื้นพระพุทธศาสนาในมณฑลนี้มา โดยทรงพระราชดำริจะให้พุทธจักร และอาณาจักรเจริญรุ่งเรือง สมกับสมัย เป็นต้นว่า ในการสั่งสอนประชาชนทั้งหลาย ให้รัฐบาลเอาเป็นธุระสั่งสอนส่วนคดีโลก ให้ พระสงฆ์รับภาระสั่งสอนส่วนคดีธรรม เป็นอุปการะ แก่กันดังนี้ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชของเราก็ได้โปรดให้จัดการสืบมาโดยทางนั้น

 

(พระราชดำรัส และพระบรมราโชวาท ในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ และมณฑลพายัพ พุทธศักราช ๒๔๖๙, ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์พระราชทานในงานบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวารพระบรมศพ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗, ๒๕๒๗, หน้า ๓๖.)

 

          ตามธรรมดาเด็กๆ จะเรียนแต่หนังสือเท่านั้น ไม่พอถ้าเรียนแต่หนังสืออย่างเดียว ก็จะตรงกับที่โบราณท่านว่าไว้ว่า “วิชาท่วมหัว เอาตัวไม่รอด” เราต้องเรียนอย่างอื่นด้วย ต้องฝึกกาย วาจา ใจ พระพุทธองค์ได้รับสั่งไว้เป็นพุทธภาษิตว่า ทนฺโต เสฎโฐ มนุสฺเสสุคือ แปลว่า บุคคลที่ได้ฝึกหัดแล้ว เป็นผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์....

 

(พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกระทรวงศึกษาธิการ,
แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล, โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว, ๒๕๒๘, หน้า ๒๕๖.)

 

 

          ศาสนาจะเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงน้ำใจ ให้ทนความลำบากได้ ให้มีแรงที่จะทำการงานของตน ให้เป็นผลสำเร็จได้ และยังเป็นยาที่จะสมานหัวใจ ให้หายเจ็บปวดในยามทุกข์ได้ด้วย...พวกเราทุกๆ คน ควรพยายามให้เด็กๆ ลูกหลานของเรามี “ยา” สำคัญ คือ คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าติดตัวไว้เป็นกำลัง เพราะ “ยา” อย่างนี้ เป็นทั้ง “ยาบำรุงกำลัง” และ “ยาสมาน หรือระงับความเจ็บปวด

 

(พระราชนิพนธ์คำนำของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในทิศ ๖ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก,
โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๔, หน้า ข.ฆ.)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทร
มหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘)

 

          พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ได้ประกอบพิธีทรงปฏิญาณตน เป็นพุทธมามกะ ท่ามกลางมณฑลสงฆ์ ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ว่า จะทรงผนวชในพระพุทธศาสนาสักวาระหนึ่ง โดยได้มีพระราชหัตถเขลาถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงขอตำราทางพระพุทธศาสนา เพื่อใช้เตรียมพระองค์ ในการที่จะทรงผนวช พระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์สเตรทแอคโค มีความตอนหนึ่งว่า

          “ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่จะได้เดินทางกลับสู่ประเทศอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า และอันที่จะได้เห็นประชาราษฎร์ของข้าพเจ้า”

 

หนังสือพิมพ์สเตรทแอคโค

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

พระบรมราโชวาทของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน

 

          “ข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมยินดีด้วย ที่สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ จัดให้มีการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยยกเอาเรื่อง การปลุกจิตสำนึกของชาวพุทธเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของเรา ขึ้นเป็นหัวข้อการประชุม...

          ชาวพุทธที่แท้จึงเป็นผู้คิดชอบปฏิบัติชอบอยู่เป็นปรกติ อยู่ ณ ที่ใดก็ทำให้ที่นั้นสงบร่มเย็น มีแต่ความปรองดอง และ สร้างสรรค์ จึงเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยเรามีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทำให้คนไทย ทุกเชื้อชาติศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความสุข มีความรักความปรารถนาดีต่อกัน มีการสงเคราะห์อนุเคราะห์ซึ่งกัน และมี ความสมัครสมานสามัคคีกันเป็นอย่างดี การที่ยุวพุทธิกสมาคมได้ตั้งใจพยายามในอันที่จะปลุกจิตสำนึกของชาวพุทธให้ หนักแน่นมั่นคงในพระศาสนายิ่งขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ดีมีคุณประโยชน์ทั้งแก่การจรรโลงพระพุทธศาสนา และแก่ส่วนรวมคือ ประเทศชาติอันเป็นที่เกิดที่อาศัย.”

 

(“พุทธธรรม” วารสารของพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์, ปีที ๔๒, ฉบับที่ ๒๖๕, พุทธศักราช ๒๕๓๗.)

 

 

          “ข้าพเจ้าถือว่าพระพุทธนวราชบพิตร เป็นที่ตั้งแห่งคุณพระรัตนตรัย อันเป็นที่เคารพสูงสุด และเป็นทั้งที่หมายของ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศไทย และคนไทยทั้งชาติ..”

 

(บทความในหนังสือ พระพุทธศาสนาศาสนาประจำชาติไทย, คณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา, วิสาขบูชา, ๒๕๒๗, หน้า ๙๗.)

 

          “บัดนี้ ประเทศชาติกำลังพัฒนาในทุกด้าน และต้องการความสามัคคี ความสงบเรียบร้อย ผลดีทั้งปวงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ด้วยประชาชน มีหลักของใจอันมั่นคง มีศรัทธา และปัญญา อันถูกต้อง และปฏิบัติตนอยู่ในทางที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม กรณียกิจอันสำคัญของท่านทั้งหลายคือ การส่งเสริมประชาชนให้มีพระรัตนตรัย และธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นหลักของใจ และความประพฤติด้วยศรัทธา และปัญญาที่ถูกต้อง”

 

 

 

(พระบรมราโชวาท พระราชทาน แก่ที่ประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑๗ วันที่ ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒)

 

          ในประวัติศาสตร์ไทย พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ รัฐธรรมนูญทุกฉบับก็ได้ระบุไว้ชัดแจ้งดังเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๙ บัญญัติ ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเป็น พุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ซึ่งข้อความในวรรคหลังเป็นข้อความที่เนื่องกับวรรคแรกกล่าวคือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกของพระพุทธศาสนา ดังเช่นที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงประกอบราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้วก็เสด็จไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจุดเทียนทองธูปเงินเครื่องนมัสการพระมหามณีรัตนปฏิมากร และทรงรับศีลแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประกาศพระองค์เป็นภาษามคธว่า ทรงรับเป็นพุทธศาสนูปถัมภก จะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาให้วัฒนาถาวรสืบไป พระสงฆ์ถวายสาธุการขึ้นพร้อมกัน ครั้นแล้วพระสงฆ์ทั้งนั้นก็สวดถวายพระพร เสร็จแล้วจึงเสด็จไปนมัสการพระมหามณีรัตนปฏิมากร แล้วเสด็จ(กลับ) อย่างขบวนที่เสด็จเมื่อขามา

 

(จากหนังสือพระราชกรณียกิจใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เล่ม ๑๐
โดย จมื่นอมรดรุณรักษ์ องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๑๕, หน้า ๖๑.)

 

          สำหรับศาสนาอื่นๆ นั้น พระมหากษัตริย์ไทย ทรงให้ความคุ้มครองศาสนาอื่นๆ และช่วยอุดหนุนตามความเหมาะสม

          พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างดียิ่งตลอดมาโดยทรงอุปถัมภ์ในทุกๆ ด้านคือ ด้านศาสนาธรรม ก็ได้ทรงอุปถัมภ์การชำระ และจารึกพระไตรปิฎก การศึกษาพระปริยัติธรรม ตลอดจนการปฏิบัติธรรม ด้านศาสนบุคคล ก็ได้ทรงอุปถัมภ์คณะสงฆ์ และการสถาปนาพระราชาคณะ ด้านศาสนวัตถุก็ได้ทรงอุปถัมภ์การสร้าง และการทะนุบำรุงถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา อีกทั้งทรงพระราชทานวิสุงคามสีมาให้แก่วัดในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

          อนึ่ง พระราชกรณียกิจที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงบำเพ็ญ ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชพิธี งานพระราชกุศล และรัฐพิธี ล้วนแต่มีพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักทั้งสิ้น แม้จะมีพิธีพราหมณ์ปนอยู่ พิธีพราหมณ์เหล่านั้น ก็เป็นเพียงส่วนประกอบปลีกย่อยเท่านั้น จึงสรุปได้ว่าประเทศไทย แม้จะไม่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้งว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แต่โดยพฤตินัย และพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เกี่ยวกับเรื่องเครื่องหมายธงชาติไทย ก็เป็นอันนับได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศไทยมาแต่อดีต

 

 

          อนึ่ง เครื่องชี้ชัดอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้สิ้นความสงสัยว่าสถาบันศาสนาได้แก่สถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็น ศาสนาประจำชาติ จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน ในโอกาสเสด็จ ออกทรงผนวชเมื่อ เดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ว่า

 

          โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้าเอง ก็เห็นเป็นศาสนที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึงเคยคิดอยู่ว่า ถ้าโอกาสอำนวย ข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่ง ตามราชประเพณี ซึ่งจัดเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมด้วย และนับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระเชษฐาธิราชก็ล่วงมากว่าสิบปีแล้ว เห็นว่าน่าจะถึงเวลาที่ควรจะทำความ ตั้งใจไว้นั้นแล้วประการหนึ่ง.. จึงได้ตกลงใจที่จะบรรพชาอุปสมบทในวันที่ ๒๒ เดือน นี้

 

(จากหนังสือพระบรมราโชวาท)

 

          นอกจากนั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชดำรัสต้อนรับโป๊ป จอห์นปอล ที่ ๒
ณ พระที่นั่งจักรี มหาปราสาท ความตอนหนึ่งว่า

 

          คนไทยเป็นศาสนิกชนที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ

 

 

 

 

 

     

 

 

 

บทความ "พระราชปณิธานแห่งพระมหากษัตริย์ไทย ที่มีต่อพระพุทธศาสนา"
คัดมาจากหนังสือ "ศาสนาประจำชาติ" รวบรวมโดย สุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ 

 

 

 

หากท่านพบข้อผิดพลาด หรือมีข้อเสนอแนะ ชมรมฯ ยินดีน้อมรับคำแนะนำจากท่าน

ชมรมพระพุทธศาสนา เอไอเอ

Visitors: 36,772